วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะบทโขน

ลักษณะบทโขน ประกอบด้วย
๑   บทร้อง ซึ่งบรรจุเพลงไว้ตามอารมณ์ของเรื่อง บทร้องแต่งเป็นกลอนบทละครเป็นส่วนใหญ่ อาจมีคำประพันธ์ชนิดอื่นบ้างแต่ไม่นิยม บทร้องนี้จะมีเฉพาะโขนโรงในและโขนฉากเท่านั้น
๒    บทพากย์ การแสดงโขนโดยทั่วไปจะเดินเรื่องด้วยบทพากย์ ซึ่งแต่งเป็นคำประพันธ์ชนิด
กาพย์ยานี ๑๖ หรือ กาพย์ยานี ๑๑ บทมีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังนี้
    - พากย์เมือง หรือพากย์พลับพลา คือบทตัวเอก เช่น ทศกัณฐ หรือพระรามประทับในปราสาท
      -พากย์รถ เป็นบทชมพาหนะและกระบวนทัพ ไม่ว่าจะเป็นรถ ม้า ช้าง หรืออื่นใดก็ได้ ตลอดจนชมไพร่พลด้วย
      - พากย์โอ้ เป็นบทโศกเศร้า รำพัน คร่ำครวญ ซึ่งตอนต้นเป็นพากย์ แต่ตอนท้ายเป็นทำนองร้องเพลงโอ้ปี่ ให้ปี่พาทย์รับ
      - พากย์ชมดงเป็นบทตอนชมป่าเขาลำเนาไพรทำนองตอนต้นเป็นทำนองร้องเพลงชมดงในตอนท้ายเป็นทำนองพากย์ธรรมด า
      -  พากย์บรรยาย เป็นบทขยายความเป็นมา ความเป็นไป หรือพากย์รำพึงรำพันใดๆ
       - พากย์เบ็ดเตล็ด เป็นบทที่ใช้ในโอกาสทั่วๆ ไป เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เข้าประเภทใดร
๓    บทเจรจา เป็นบทกวีที่แต่งเป็น ร่ายยาวส่งและรับสัมผัสกันไปเรื่อยๆ ใช้ได้ทุกโอกาส สมัยโบราณเป็นบทที่คิดขึ้นสดๆ เป็นความสามารถของคนพากย์ คนเจรจา ที่จะใช้ปฏิภาณคิดขึ้นโดยปัจจุบัน ให้ได้ถ้อยคำสละสลวย มีสัมผัสแนบเนียน และได้เนื้อถ้อยกระทงความถูกต้องตามเนื้อเรื่อง ผู้พากย์เจรจาที่เก่งๆ ยังสามารถใช้ถ้อยคำคมคาย เหน็บแนมเสียดสี บางครั้งก็เผ็ดร้อน โต้ตอบกันน่าฟังมาก ปัจจุบันนี้ บทเจรจาได้แต่งไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้พากย์เจรจาก็ว่าตามบทให้เกิดอารมณ์คล้อยตามถ้อยคำ โดยใช้เสียงและลีลาในการเจรจา ผู้พากย์และเจรจาต้องทำสุ้มเสียงให้เหมาะกับตัวโขน และใส่ความรู้สึกให้เหมาะกับอารมณ์ในเรื่อง
    คนพากย์และเจรจานี้ใช้ผู้ชาย คนหนึ่งต้องทำหน้าที่ทั้งพากย์และเจรจา และต้องมีไม่น้อยกว่า ๒ คน จะได้โต้ตอบกันทันท่วงที เมื่อพากย์หรือเจรจาจบกระบวนความแล้ว ต้องการจะให้ปี่พาทย์ทำเพลงอะไรก็ร้องบอกไป เรียกว่า "บอกหน้าพาทย์" และถ้าการแสดงโขนนั้นมีขับร้อง คนพากย์และเจรจายังจะต้องทำหน้าที่บอกบทด้วย การบอกบทจะต้องบอกให้ถูกจังหวะ




วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559



เรื่องที่ใช้แสดงโขน


เรื่องที่ใช้สำหรับเล่นโขนตามที่รู้จักกันแพร่หลายมาจนปัจจุบันนี้คือ "รามเกียรติ์" ซึ่งมีหลายสำนวนด้วยกัน ทั้งไทย ชวา เขมร และอินเดียซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเรื่อง เรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะนี้แต่งโดยพระฤาษีวาลมิกิ เมื่อหลายพันปีก่อน ชาวอินเดียจะมีความเคารพนับถือมาแต่สมัยโบราณกันว่าผู้ใดได้อ่านหรือฟังเรื่อง “รามเกียรติ์” ก็สามารถล้างบาปได้          เรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะเป็นเรื่องราวของพระนารายณ์ที่อวตารปางหนึ่งเป็น “พระราม” เพื่อคอยปราบอสูรที่คอยเบียดเบียนเหล่าเทวดา และมนุษย์ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ สงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ซึ่งเป็นพญายักษ์ครองกรุงลงกา เกิดจากทศกัณฐ์ไปลักพานางสีดามเหสีของพระรามมาเพื่อเป็นชายาของตนเอง พระรามและพระอนุชาคือพระลักษณ์จึงได้ออกติดตาม จนกระทั่งได้สองพญาวานรคือพญาสุครีพเจ้าเมืองขีดขิน และท้าวมหาชมพูเจ้าเมืองชมพูมาเป็นบริวาร โดยมีหนุมานเป็นทหารเอก กองทัพของพระรามจึงจองถนนข้ามทะเลไปสร้างพลับพลา และตั้งค่ายประชิดกรุงลงกาเพื่อทำศึกกับทศกัณฐ์ จนกระทั่งฝ่ายพระรามได้รับชัยชนะ
          รามเกียรติ์ฉบับของไทยได้มีการแต่งเป็นตอนๆหรือทั้งเรื่อง เพื่อใช้สำหรับการแสดงโขน หนังใหญ่ และละครนั้น มีหลักฐานปรากฏว่าได้แต่งขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างกันดังน
ี้
บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงศรีอยุธยา 
๑. รามเกียรติ์คำฉันท์ 
รามเกียรติ์สำนวนนี้มีกล่าวไว้ในหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เข้าใจว่าพระโหราธิบดีคงจะหยิบยกมาจากคำพากย์ของเก่าที่แต่งไว้สำหรับเล่นโขนหรือเล่นหนัง ซึ่งแต่งไว้เป็นเรื่องราวแต่ได้สูญหายไปแล้ว คงเหลือที่นำมาเป็นตัวอย่างในหนังสือจินดามณี ๓-๔ บทเท่านั้น
๒. รามเกียรติ์คำพากย์ รามเกียรติ์สำนวนนี้หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้แบ่งตีพิมพ์ไว้เป็นภาค โดยมีเนื้อเรื่องติดต่อกันไปตั้งแต่ภาค ๒ ตอน “สีดาหาย” ไปจนถึงภาค ๙ ตอน ”กุมภกรรณล้ม” เข้าใจว่าคำพากย์เหล่านี้แต่เดิมใช้เล่นหนัง ต่อมาภายหลังได้มีผู้นำมาใช้เล่นโขนด้วย
๓. รามเกียรติ์บทละครครั้งกรุงเก่า สำนวนนี้กล่าวความตั้งแต่ตอน “พระรามประชุมพล” จนถึง “องคตสื่อสาร” บทละครนี้ไม่เคยตีพิมพ์ออกเผยแพร่ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรามเกียรติ์บทละครในรัชกาลที่๑ จะเห็นว่ามีเนื้อความไม่ตรงกันในบางแห่งบางตอน และถ้อยคำในบทละครก็ดูไม่เหมาะสม จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นบทละครรามเกียรติ์ฉบับเชลยศักดิ์ ที่เจ้าของละครคนใดคนหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาคัดลอกไว้
บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงธนบุรี
รามเกียรติ์สำนวนนี้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชนิพนธ์ไว้เพียง ๔ ตอน โดยทรงพระราชนิพนธ์ไม่เรียงตามลำดับเรื่อง คือ ตอนพระมงกุฎ หนุมานเกี้ยวนางวานรินจนถึงท้าวมาลีวราชเสด็จมา ท้าวมาลีวราชว่าความจนถึงทศกัณฐ์เข้าเมือง และตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด และพระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัทจนถึงหนุมานผูกผมนางมณโฑกับทศกัณฐบทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
๑. บทละครรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ ๑ 
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงมีพระราชประสงค์จะรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์ที่กระจัดกระจายให้รวมเป็นเรื่องเดียวกัน จึงมีพระบรมราชโองการให้ประชุมบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่๑ มีเรื่องราวยืดยาวติดต่อกันไป นับเป็นวรรณคดีไทยเรื่องเดียวที่ยาวที่สุดในวรรณกรรมไทย เพราะต้องเขียนในสมุดไทยถึง ๑๑๗ เล่มสมุดไทย
๒. บทละครรามเกียรติ์ในรัชกาลที่๒ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ ทรงเห็นว่าบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่๑ เยิ่นเย้อเกินไปไม่เหมาะสำหรับนำมาเล่นโขน พระองค์จึงทรงคัดเลือกเอาเรื่องรามเกียรติ์บางตอน คือตั้งแต่หนุมานถวายแหวนไปจนถึงทศกัณฐ์ล้ม มาแต่งขึ้นใหม่สำหรับเล่นโขนหลวงเป็นหนังสือ ๓๖ เล่มสมุดไทย
๓. บทละครรามเกียรติ์ในรัชกาลที่๔ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่งคือ ตอน "พระรามเดินดง" เป็นหนังสือ๔ เล่มสมุดไทย และทรงพระราชนิพนธ์แปลงบทละครเบิกโรงเรื่อง "นารายณ์ปราบนนทุก" กับเรื่อง "พระรามเข้าสวนพระพิราพ" ขึ้นอีก๒ ตอน
๔. บทร้อง และบทพากย์รามเกียรติ์ในรัชกาลที่๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๖ ทรงค้นคว้าศึกษาที่มาของเรื่องรามเกียรติ์จากคัมภีร์รามายณะของฤาษีวาลมิกิ แล้วทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “บ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์” ขึ้น และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อง และบทพากย์สำหรับเล่นโขนขึ้นอีก๖ ชุด คือ ชุดสีดาหาย ชุดเผาลงกา ชุดพิเภกถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกา และชุดนาคบาศ


http://student.swu.ac.th/sc501010561/page02.html

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เครื่องแต่งกาย


เครื่องแต่งกาย






๑ ตัวพระ สวมเสื้อ แขนยาวปักดิ้น และเลื่อม มีอินทรธนูที่ไหล่ ส่วนล่างสวมสนับเพลา
(กางเกง)ไว้ข้างในนุ่งผ้ายกจีบโจงไว้หางหงส์ทับสนับเพลาด้านหน้ามีชายไหวชายแครง
ห้อยอยู่ศีรษะสวมชฎา สวมเครื่องประดับต่างๆ เช่น กรองคอ ทับทรวง ตาบทิศ ปั้นเหน่ง ทองกร กำไลเท้าเป็นต้น แต่เดิมตัวพระจะสวมหัวโขน แต่ภายหลังไม่นิยม เพียงแต่แต่ง
หน้าและสวมชฎาแบบละครในเท่านั้น
ตัวพระ ผู้แสดงที่เป็นมนุษย์ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเทวดา ซึ่งได้แก่ พระราม พระลักษณ์ พระพรตพระสัตรุต พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหมในปัจจุบันนี้มักสวมเพียงชฎา
ไม่ได้สวมหัวโขนปิดหน้าดังสมัยโบราณ เพียงแต่ชฎาของเทพเจ้าต่างๆนั้นจะ
สามารถสังเกตได้จากลักษณะของชฎานั้นๆ เช่น พระพรหมจะสวมชฏาที่มีพระพักตร์
อยู่ ๔ ด้าน พระอินทร์จะสวมชฎายอดเดินหนเป็นต้น ผู้ที่จะหัดแสดงเป็นตัวพระ จะคัดเลือก
ผู้มีลักษณะใบหน้าสวย จมูกเป็นสัน ลำคอโปร่งระหงไหล่ลาดงาม ช่วงอกใหญ่ลำตัว
เรียวเอวเล็ก ตามแบบชายงามในวรรณคดีไทย





๒. ตัวนาง สวมเสื้อแขนสั้นเป็นชั้นในแล้วห่มสไบทับ ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึง
น่อง ส่วนล่างนุ่งผ้ายกจีบหน้า ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้า หรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะ
ของตัวละคร ตามตัวสวมเครื่องประดับต่างๆ เช่นกรองคอ สังวาล พาหุรัด เป็นต้น
แต่เดิมตัวนางที่เป็นตัวยักษ์เช่น นางสำมนักขา นางกากนาสูร จะสวมหัวโขน แต่ภายหลังมีการแต่งหน้าไปตามลักษณะของตัวละครนั้นๆโดยไม่สวมหัวโขนบ้าง
ตัวนาง ตัวละครตัวนางในเรื่องรามเกียรติ์นั้นมีทั้งที่เป็นมนุษย์ ปลา นาค แต่ละตัวจะบอกชาติกำเนิดด้วยการสวมศีรษะ และหางเป็นสัญลักษณ์ ตัวนางในโขน และละครรำนั้นมี ๒ประเภท คือนางกษัตริย์ ซึ่งมีลีลาและอิริยบถแสดงถึง
ความนุ่มนวลแลดูเป็นผู้ดีกับนางตลาดซึ่งจะมีบทบาทท่าทางกระฉับกระเฉง
ว่องไวสะบัดสะบิ้งผู้ที่จะรับบทนางตลาดได้จะต้อง เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
ทางนาฏศิลป์มากกว่าผู้ที่แสดงเป็นนางกษัตริย์ ผู้ที่จะหัดแสดงเป็นตัวนาง
จะคัดเลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายตัวพระ แต่ต้องมีใบหน้างาม กิริยาท่าทางนุ่มนวลอย่าง
ผู้หญิง



๓. ตัวยักษ์เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายตัวพระ จะแตกต่างกันที่การนุ่งผ้า คือตัวยักษ์จะนุ่งผ้าไม่มีหางหงส์ แต่มีผ้าปิดก้นลงมาจากเอวส่วนศีรษะสวม
หัวโขนตามลักษณะของตัวละคร ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยชนิด
ตัวยักษ์ ตัวยักษ์จะต้องมีลักษณะสูง วงเหลี่ยมตลอดจนการทรงตัวต้องดูแข็งแรง บึกบึน ลีลาท่าทางมีสง่า ซึ่งต้องได้รับการฝึกหัดมาอย่างดีเพราะถือกันว่าหัดยากกว่าตัวอื่นๆ
ผู้ที่จะหัดแสดงเป็นตัวยักษ์ คัดเลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายตัวพระ แต่ไม่ต้องเลือกหน้าตา รูปร่างต้องใหญ่ และท่าทางแข็งแรง




๔. ตัวลิง เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายตัวยักษ์ แต่มีหางลิงห้อยอยู่ใต้ผ้าปิดก้นอีกที สวมเสื้อตามสีประจำตัวในเรื่องรามเกียรติ์ ไม่มีอินทรธนู ตัวเสื้อปักลายขดเป็นวง สมมุติว่าเป็นขน
ตามตัวลิง ส่วนศีรษะสวมหัวโขนตามลักษณะของตัวละคร ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๔๐ ชนิด
ตัวลิง ตัวลิงจะต้องมีท่าทางลุกลี้ลุกลน กระโดดโลดเต้นตามลักษณะธรรมชาติของลิง โดยเฉพาะตัวหนุมานทหารเอกซึ่งจะต้องได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ผู้ที่จะหัดแสดงเป็น
ตัวลิง คัดเลือกผู้ที่มีลักษณะป้อมๆ ท่าทางหลุกหลิกคล่องแคล่วว่องไวผู้ที่จะหัดโขนนั้น
มักเป็นผู้ชายตามธรรมเนียมมาแต่โบราณ โดยเริ่มหัดกันตั้งแต่อายุ ๘ -๑๒ ขวบ

ในชั้นต้นคุณครูผู้ใหญ่จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกผู้สมควรหัดเป็นตัวแสดงต่างๆเมื่อผู้ที่หัดเป็น
ตัวเหล่านี้ไปแล้ว ครูก็จะพิจารณาท่าทีหน่วยก้านเพื่อคัดอีกชั้นหนึ่งเช่น พวกหัดตัวพระคัด
ให้เป็นพระใหญ่หรือพระน้อย พวกหัดตัวนางคัดให้เป็นนางเอกหรือนางรองพวกหัดตัวยักษ์
ให้เป็นยักษ์ใหญ่ ยักษ์เล็กหรือเสนายักษ์และพวกหัดตัวลิงจะให้เป็นพญาวานรหรือเหล่าวานร
สิบแปดมงกุฎเป็นต้นหลังจากครูคัดเลือกศิษย์แล้ว เมื่อถึงวันพฤหัสบดีซึ่งถือว่าเป็นวันครู
ก็จะทำพิธีไหว้ครู และรับเข้าเป็นศิษย์ โดยศิษย์ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นเครื่องสักการะ
แก่ครเมื่อครูรับการสักการะแล้วก็จะทำความเคารพถึงครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว
อีกทีหนึ่งแล้วจึงจับท่าให้ศิษย์เป็นปฐมฤกษ์ ต่อจากนั้นจึงให้ศิษย์ไปฝึกหัดกับครูผู้ช่วยสอน
แต่ละฝ่ายตามตัวโขน

ประเภทของโขน


ประเภทของโขน


 ศิลปะการแสดงโขนแต่เดิมมีอยู่ ๕ ประเภท คือโขนกลางแปลง โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว
โขนโรงใน โขนหน้าจอ และโขนฉาก ปัจจุบันนิยมแสดงเพียง ๓ ประเภท คือ โขนกลางแปลงโขนหน้าจอ
และโขนฉาก
สำหรับโขนโรงนอกหรือโขนนั่งราวที่ไม่ได้จัดแสดงเนื่องจากเป็นการแสดงโขนที่มีแต่บทพากย์
เจรจา ไม่มีบทร้อง และใช้ราวไม้กระบอกแทนเตียงสำหรับนั่ง ส่วนโขนโรงในก็เป็นศิลปะที่โขนหน้าจอนำไป
แสดงแล้ว
     



โขนกลางแปลง
เป็นการแสดงโขนบนพื้นดินกลางสนามหญ้า
 ไม่ต้องปลูกโรงให้แสดง ใช้ฉากตามธรรมชาติ เช่น
ต้นไม้ เป็นต้น โขนกลางแปลงมีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่เดิมการแสดงดำเนินเรื่องด้วยการพากย์เจรจาแต่ในสมัยปัจจุบันนี้ได้นำเอาศิลปะการแสดงโขนโรงในที่มี
การขับร้องและจับระบำรำฟ้อนเข้าไปแสดงในโขนกลางแปลง ทำให้ศิลปะการแสดงโขนกลางแปลงเป็นแบบ
เดียวกับโขนโรงใน เพียงแต่สถานที่แสดงเท่านั้นที่ผิดกันคือ โขนโรงในแสดงบนเวที ส่วนโขนกลางแปลงแสดง
กลางสนามหญ้า
ดนตรีประกอบการแสดงใช้วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่หรือเครื่องคู่ก็ได้สุดแท้แต่ฐานะของงานในสมัยโบราณวง  พาทย์จะต้องมีอย่างน้อย ๒ วงผลัดกันบรรเลงเนื่องจากสนามกว้างแสดงไปใกลปี่พาทย์วงใด
ปี่พาทย์วงนั้นก็บรรเลงให้ตัวโขนแสดง ปัจจุบันมี เครื่องขยายเสียงได้ยินไปทั่วบริเวณ จึงมีวงปี่พาทย์เพียงวงเดียว
ลักษณะเครื่องแต่งกายของตัวโขน จะแต่งกายแบบยืนเครื่องพระ นาง ยักษ์ และลิง
 ลักษณะท่ารำ มีทั้งการเต้นและการร่ายรำอย่างการแสดงละครในความยาวของการแสดง สามารถแสดงได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงไปจนถึง ๔ ชั่วโมง
    







โขนหน้าจอ
เป็นการแสดงโขนที่แสดงอยู่บนเวทีหน้าจอผ้าขาว
 ซึ่งแต่เดิมเป็นจอสำหรับแสดงหนังใหญ่ ต่อมามีการแสดงโขนสลับกับการแสดงหนังใหญ่ในบางตอน และในที่สุดก็เป็นการแสดงโขนเพียง
อย่างเดียว จอผ้าขาวที่เคยใช้แสดงหนังใหญ่ก็ยังคงอยู่ในลักษณะเดิมเพียง
แต่เจาะช่องทั้งสองข้างทำเป็นประตูสำหรับตัวโขนเข้าออกทางด้านขวามือของเวทีจากขอบประตูเขียน
ภาพ
เป็นพลับพลาพระราม ทางด้านซ้ายมือของเวทีเขียนภาพเป็นปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา
และเมืองยักษ์ การแสดงดำเนินเรื่องโดยการพากย์เจรจา ในสมัยต่อมาเพิ่มการขับร้องตามศิลปะ
การแสดงโขนโรงในเข้าไปด้วย
ดนตรีประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ สุดแท้แต่ฐานะของงาน วงดนตรีจะตั้งอยู่บนเวทียกพื้นต่ำกว่าเวทีโขนทางด้านหลังจอโขน
ลักษณะเครื่องแต่งกายผู้แสดงโขนหน้าจอแต่งกายยืนเครื่องพระ นาง ยักษ์ และลิง เช่นเดียวกับการแสดงโขนกลางแปลงลักษณะท่ารำ มีทั้งการเต้นของฝ่ายยักษ์ ฝ่ายลิง และการร่ายรำ ตามแบบละครในของฝ่ายพระและฝ่ายนางความยาวของการแสดง เช่นเดียวกับการแสดงโขนกลางแปลง
คือ แสดงได้ตั้งแต่เวลาครึ่งชั่วโมงไปจนถึง ๔ ชั่วโมง
    






โขนฉาก
การแสดงโขนโรงในที่แสดงโดยมีม่านกั้นทางด้านหลังอย่างการแสดงละครในและดำเนินเรื่องด้วย
การพากย์เจรจา
และขับร้องนั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โขนโรงในจึงวิวัฒนาการมาเป็น
การแสดงโขนฉาก
 โดยมีผู้คิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขน เช่นเดียวกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ ศิลปะการแสดงโขนฉากเช่นเดียวกับโขนโรงในทุกประการ แต่การแสดงโขนฉากจะแบ่งเรื่องราวที่แสดง
ให้เหมาะกับฉากตามท้องเรื่อง บทประกอบการแสดงโขนฉากจะจัดทำไว้
อย่างสมบูรณ์ ผู้พากย์เจรจาและขับร้องจะพากย์เจรจา
และขับร้องไปตามบทที่แต่งไว้
ดนตรีประกอบการแสดง ใช้ปี่พาทย์เครื่องใหญ่ หรือปี่พาทย์เครื่องคู่
 ลักษณะเครื่องแต่งกาย เช่นเดียวกับโขนกลางแปลงและโขนหน้าจอ
ลักษณะท่ารำ เป็นการเต้นของฝ่ายยักษ์ ฝ่ายลิง ส่วนฝ่ายพระและฝ่ายนางรำแบบละครในความยาวของการแสดง ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงจนถึง ๒ ชั่วโมงครึ่ง



http://student.swu.ac.th/sc501010561/page.html